แม้จะช่วยป้องกันผิวรถยนต์จากมลภาวะ แดด และสิ่งสกปรกที่อาจทำให้ผิวรถยนต์เสียหาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเคลือบแก้วรถยนต์มีราคาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ร้านเคลือบแก้วในประเทศไทยก็เปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก จนทำให้ใครหลายคนไม่แน่ใจว่าจะใช้บริการเคลือบแก้วจากร้านใดให้ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
หากใครกำลังมองหาร้านเคลือบแก้วรถยนต์ที่มีราคาคุ้มค่า แต่ยังไม่รู้ว่าจะพิจารณาเลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์มากที่สุด ลองมาดู 3 เรื่องสำคัญที่ต้องตรวจสอบและพิจารณาให้ดีเพื่อเลือกร้านเคลือบแก้วที่เหมาะสมกัน
เช็กน้ำยาที่นำมาเคลือบแก้วก่อน
การเคลือบแก้วรถยนต์มีราคาตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน แถมยังมีร้านเคลือบแก้วให้เลือกมากมาย จนทำให้ใครหลายคนตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะใช้บริการที่ใดกันแน่ ซึ่งหากใครกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ขอแนะนำให้เริ่มต้นการเลือกร้านเคลือบแก้วโดยการเช็กน้ำยาที่น้ำมาเคลือบก่อนเป็นอันดับแรก
โดยทั่วไปแล้ว น้ำยาเคลือบแก้วจะผลิตขึ้นมาจากซิลิก้า ซึ่งจะมีความเข้มข้นให้เลือกหลายระดับ โดยระดับ 9H จะมีความหนาและแข็งมากที่สุด ทั้งยังถือเป็นการเคลือบแก้วระดับพรีเมียมที่ได้รับการรองรับจากต้นกำเนิดของการเคลือบแก้วอย่างองค์กร Japan Quartz Club ซึ่งหากยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ เคลือบแก้วก็จะยิ่งหนา แข็งแรง และเข้มข้น ทำให้ไม่ต้องเสียเงินเคลือบแก้วบ่อย แต่ก็จะทำให้บริการเคลือบแก้วรถยนต์มีราคาสูงขึ้นเช่นกัน
อย่าลืมดูวิธีเคลือบแก้วจากร้านที่สนใจ
ในปัจจุบันนี้ การเคลือบแก้วรถยนต์สามารถทำได้ 2 วิธี คือ การพ่น และ การทา ซึ่งหากทำอย่างถูกต้องและได้มาตรฐานก็ทำให้สามารถเคลือบแก้วได้อย่างทั่วถึง
โดยการพ่นนั้นจะเป็นการนำน้ำยาเคลือบแก้วจะเป็นการนำน้ำยาใส่เครื่องพ่นเฉพาะ ซึ่งจะรองรับการพ่นน้ำยาเคลือบแก้วระดับ 9H เท่านั้น ทำให้บริการเคลือบแก้วรถยนต์แบบพ่นมีราคาที่ค่อนข้างสูง
ในทางตรงกันข้าม การเคลือบแก้วด้วยการทาจะเป็นการใช้ฟองน้ำค่อย ๆ ไล่น้ำยาไปบนผิวของรถยนต์ ซึ่งหากช่างไม่มีประสบการณ์ก็จะทำให้ทาเคลือบแก้วไม่ทั่วถึง ทั้งยังเสี่ยงเกิดรอยด่างบนพื้นผิวรถยนต์อีกด้วย
เช็กประกันการเคลือบแก้วด้วย
การเคลือบแก้วรถยนต์ส่วนมากจะมาพร้อมกับประกันการเคลือบแก้ว ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามน้ำยาที่ใช้ ฝีมือของช่าง ไปจนถึงเงื่อนไขของทางร้านเอง โดยหากเป็นการเคลือบแก้วรถยนต์ด้วยน้ำยาพิเศษจะมีประกันการเคลือบแก้วอยู่ที่ 1 – 5 ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี เจ้าของรถยนต์เองก็ต้องเช็กให้ดีว่า ประกันดังกล่าวครอบคลุมความเสียหายใดบ้าง เช่น รอยขีดข่วน อุบัติเหตุ ไปจนถึงการทำสีเฉพาะจุดใหม่ เนื่องจากร้านบางแห่งอาจมีการจำกัดเงื่อนไขประกันเคลือบแก้ว ทำให้อาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาวนั่นเอง
แม้บริการเคลือบแก้วรถยนต์จะมีราคาที่หลากหลาย แต่ทุกคนก็สามารถนำทั้ง 3 เรื่องสำคัญที่นำมาฝากนี้ไปพิจารณาเพื่อเลือกร้านและบริการเคลือบแก้วที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการได้แล้ว