มาเป็นเพื่อนกันกับอีสานเดฟ
เรารับทำและออกแบบเว็บไซต์ สำหรับธุรกิจทุกประเภท ปรึกษาฟรี !
ชวนวิเคราะห์โอกาสธุรกิจเนอสเซอรี่ ควรไปต่ออยู่ไหมในเศรษฐกิจช่วงนี้?
ในวันที่พ่อแม่วัยทำงานต้องรับมือกับโลกที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมี “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ลูกได้เรียนรู้ เติบโต และ ธุรกิจเนอสเซอรี่ ก็คือหนึ่งในคำตอบที่น่าจับตามองอย่างมากในช่วงหลังยุคโควิด-19
ในวันที่พ่อแม่วัยทำงานต้องรับมือกับโลกที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมี “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ลูกได้เรียนรู้ เติบโต และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม กลายเป็นความต้องการพื้นฐานของครอบครัวยุคใหม่ และ ธุรกิจเนอสเซอรี่ ก็คือหนึ่งในคำตอบที่น่าจับตามองอย่างมากในช่วงหลังยุคโควิด-19
แต่คำถามคือ โอกาสของธุรกิจนี้ยังเปิดกว้างอยู่หรือไม่? และมีอะไรที่ต้องระวังบ้างก่อนจะเริ่มต้นลงทุนในเส้นทางนี้?

ทำไมธุรกิจเนอสเซอรี่ยังมีโอกาสเติบโตในยุคนี้?
1. พฤติกรรมของพ่อแม่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
พ่อแม่ Gen Y และ Gen Z ที่กำลังเข้าสู่วัยมีบุตรมีแนวโน้ม “เลือกคุณภาพมากกว่าราคา” โดยให้ความสำคัญกับพัฒนาการของลูกในเชิงลึก เช่น EQ, Creativity, Self-Esteem มากกว่าความเก่งวิชาการแบบเดิม และมีพฤติกรรมที่นิยมตรวจสอบข้อมูลโรงเรียนล่วงหน้า อ่านรีวิว และดูภาพกิจกรรมบนโซเชียลก่อนตัดสินใจ
2. โครงสร้างครอบครัวขนาดเล็กเติบโต
ครอบครัวเดี่ยวที่ไม่มีผู้สูงอายุช่วยเลี้ยงดูเด็ก ต้องพึ่งพาระบบเนอสเซอรี่เป็นหลัก โดยเฉพาะในเขตเมือง/หัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น และระยอง
3. รัฐเริ่มให้ความสำคัญกับ Early Childhood Education
นโยบายส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กก่อนวัยเรียนเริ่มถูกผลักดันมากขึ้น จึงทำให้ปัจจุบันธุรกิจเนอสเซอรี่มีโอกาสในการรับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น โครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กมาตรฐาน
ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเนอสเซอรี่ไปไม่ถึงฝัน
แม้จะมีโอกาส แต่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยกลับต้องพับแผนกลางคัน นั่นอาจเป็นเพราะ
1. ขาดความเข้าใจเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย
สถานที่ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการหรือกรมอนามัย อาจถูกระงับใบอนุญาตได้ เรื่องเล็ก ๆ เช่น ไม่มีประตูนิรภัย หรือไม่มีครูที่ผ่านอบรม CPR อาจกลายเป็นประเด็นใหญ่
2. มองข้ามเรื่องบุคลากรที่มีคุณภาพ
ครูเนอสเซอรี่ที่ดีต้องมากกว่าความใจเย็น ต้องมีความรู้เรื่องพัฒนาการเด็ก และมีทักษะการสื่อสารกับผู้ปกครอง เจ้าของธุรกิจที่มองเพียงแค่ “จ้างคนมาเฝ้าเด็ก” มักเจอกับปัญหาการลาออก ความไม่พอใจของผู้ปกครอง หรือการร้องเรียนในภายหลัง
3. ไม่มีแผนการตลาดที่เข้าใจยุคดิจิทัล
ธุรกิจเนอสเซอรี่ที่ไม่มีตัวตนบนออนไลน์ยากจะเข้าถึงพ่อแม่รุ่นใหม่ การมีเพียง Facebook page อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการรีวิว แชร์ภาพกิจกรรม และให้ข้อมูลที่โปร่งใส
กลยุทธ์สร้างความแตกต่างในตลาดเนอสเซอรี่
หากคิดจะเข้าสู่ตลาดนี้จริง ไม่ใช่แค่ “เปิดให้บริการ” แล้วรอลูกค้า แต่ต้องวางแผนชัดเจน
- เลือกทำเลที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายจริง เช่น ย่านที่มีคอนโดเยอะ หรือกลุ่มพนักงานออฟฟิศหนาแน่น
- ลงทุนในระบบสื่อสารกับผู้ปกครอง เช่น แอปแจ้งกิจกรรมรายวัน, ระบบส่งภาพแบบ Private, หรือ LINE OA
- วางหลักสูตรที่มีจุดขาย เช่น เน้นสองภาษา, ศิลปะสร้างสรรค์, การดูแลเฉพาะทางสำหรับเด็กพิเศษ
- ใช้การตลาดแบบ Word-of-Mouth + รีวิวจริง เพราะในธุรกิจนี้ “ความไว้ใจ” คือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด
ธุรกิจเนอสเซอรี่ยังน่าลงทุน แต่ต้องทำแบบ “เข้าใจจริง”
การเปิดธุรกิจเนอสเซอรี่ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารและรับเด็กมาเลี้ยง แต่คือการสร้าง “พื้นที่ชีวิต” ที่ผู้ปกครองฝากความไว้วางใจไว้กับเรา การเติบโตของธุรกิจนี้จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพ ความจริงใจ และความเข้าใจในเด็กอย่างแท้จริง ถ้าคิดจะลงทุนในธุรกิจเนอสเซอรี่ควรเริ่มจากการตั้งคำถามว่า “เราอยากให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นแบบไหน?” แล้วออกแบบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจและสอดคล้องกับความต้องการ เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในที่สุด